ที่มาของการละเล่นเด็กไทย
การละเล่นเด็กไทยมีมาอย่างช้านาน สันนิษฐานว่ามีมาพร้อมกับการก่อตั้งชนชาติไทย โดยมีการสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น และมีการปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัยและสภาพแวดล้อมในแต่ละท้องถิ่น การละเล่นส่วนใหญ่มีความผูกพันกับวิถีชีวิตและวัฒนธรรมไทย เช่น การเกษตรกรรม ธรรมชาติ และความเชื่อต่างๆ
ลักษณะของการละเล่นเด็กไทยในอดีต:
เรียบง่าย: ใช้อุปกรณ์น้อยชิ้น หรือใช้วัสดุจากธรรมชาติ
เน้นการเคลื่อนไหว: ส่งเสริมพัฒนาการทางร่างกาย ความคล่องแคล่ว และความแข็งแรง
ส่งเสริมปฏิสัมพันธ์ทางสังคม: สร้างความสนุกสนาน ความสามัคคี และการเรียนรู้การอยู่ร่วมกัน
สอดแทรกคุณธรรม: สอนเรื่องความซื่อสัตย์ การมีน้ำใจนักกีฬา การเคารพกฎกติกา
ตัวอย่างการละเล่นเด็กไทยและวิธีการเล่น:
การละเล่นเด็กไทยมีหลากหลายประเภท สามารถแบ่งตามลักษณะการเล่นและอุปกรณ์ที่ใช้ได้ดังนี้:
1. การละเล่นกลางแจ้ง:
วิ่งเปี้ยว: แบ่งผู้เล่นเป็นสองทีม แต่ละทีมมีผ้าหรือไม้ถือไว้ คนแรกของแต่ละทีมวิ่งอ้อมหลักของอีกฝ่าย แล้วกลับมาแตะมือคนถัดไปในทีม ทำเช่นนี้สลับกันไป ทีมใดทำเสร็จก่อนเป็นผู้ชนะ
มอญซ่อนผ้า: ผู้เล่นนั่งล้อมวง มีคนหนึ่งถือผ้าไว้ด้านหลังวง ร้องเพลง "มอญซ่อนผ้า ตุ๊กตาอยู่ข้างหลัง..." แล้วแอบวางผ้าไว้ข้างหลังใครคนหนึ่ง คนที่ถูกวางผ้าต้องรีบลุกขึ้นวิ่งไล่ตีคนที่เป็นมอญ ก่อนที่มอญจะมานั่งที่ของตน
รีรีข้าวสาร: ผู้เล่นสองคนยืนจับมือกันเป็นซุ้ม คนอื่นๆ เกาะเอวต่อแถวลอดใต้ซุ้มไปเรื่อยๆ พร้อมร้องเพลง "รีรีข้าวสาร สองทะนานข้าวเปลือก เลือกท้องใบลาน คดข้าวใส่จาน พานเอาไป..." เมื่อเพลงจบ คนที่อยู่ในซุ้มจะปล่อยมือ ใครถูกกักตัวไว้ต้องออกมาเป็น "คนใช้" หรือทำตามข้อตกลง
งูกินหาง: ผู้เล่นคนหนึ่งเป็น "แม่" ที่เหลือเป็น "ลูก" เกาะเอวต่อกัน แม่จะพยายามจับลูกคนสุดท้าย ลูกๆ ต้องช่วยกันป้องกันไม่ให้แม่จับได้
ขี่ม้าก้านกล้วย: เด็กๆ จะนำก้านกล้วยมาทำเป็นม้า แล้วขี่เล่น แข่งกัน หรือเล่นบทบาทสมมติ
ซ่อนหา: คนหนึ่งเป็น "ผู้หา" ปิดตาแล้วนับเลข ส่วนคนอื่นๆ ไปซ่อน เมื่อผู้หาหาเจอคนแรก คนนั้นก็ต้องมาเป็นผู้หาในรอบต่อไป
กระโดดเชือก: ใช้เชือกยาวให้คนสองคนแกว่ง หรือใช้เชือกสั้นกระโดดคนเดียว
ตีลูกล้อ: ใช้ไม้ตีวงล้อให้กลิ้งไปข้างหน้า ใครตีได้ไกลและไม่ล้มถือว่าเก่ง
เดินกะลา: นำกะลามะพร้าวมาเจาะรูร้อยเชือก แล้วใช้เท้าเหยียบกะลาเดิน
ตี่จับ: แบ่งเป็นสองทีม ทีมหนึ่งเป็นผู้ "ตี่" (แตะตัว) อีกทีมเป็นผู้ "หนี" ผู้ตี่ต้องพยายามแตะตัวผู้หนีให้ได้ ถ้าถูกแตะตัวต้องออกจากการเล่น หากผู้หนีคนใดคนหนึ่งสามารถวิ่งผ่านแดนของผู้ตี่ได้หมด ทีมผู้หนีจะเป็นผู้ชนะ
2. การละเล่นในร่ม:
หมากเก็บ: ใช้ก้อนหินหรือเมล็ดพืชขนาดเล็กจำนวนหนึ่ง เล่นโดยการโยนและเก็บตามจำนวนและรูปแบบต่างๆ
เป่ากบ: ใช้ยางวงวางซ้อนกัน แล้วใช้นิ้วดีดให้ยางวงของตนเองทับยางวงของอีกฝ่าย
จ้ำจี้: ผู้เล่นหลายคนเอามือมาซ้อนกัน คนหนึ่งจะใช้นิ้วชี้จิ้มไปที่มือทีละคนพร้อมร้องเพลง "จ้ำจี้มะเขือเปราะ กระเทาะหน้าแว่น พายเรืออกแอ่น กระแท่นต้นกุ่ม..." ใครถูกจิ้มคนสุดท้ายในคำว่า "กุ่ม" จะต้องทำตามข้อตกลง
กาฟักไข่: ผู้เล่นคนหนึ่งทำท่าเป็นแม่กา นั่งยองๆ เอามือโอบ "ไข่" (สมมติ) ไว้ ส่วนคนอื่นๆ เดินวนรอบๆ พร้อมร้องเพลง "กาเอ๋ยกา กามาทำอะไร มาฟักไข่ให้ลูกมัน..." แล้วพยายามแย่งไข่จากแม่กา
เก้าอี้ดนตรี: วางเก้าอี้เรียงกันน้อยกว่าจำนวนผู้เล่นหนึ่งตัว เปิดเพลง เมื่อเพลงหยุด ผู้เล่นต้องรีบหาเก้าอี้นั่ง ใครไม่มีเก้าอี้นั่งตกรอบ ทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนเหลือผู้เล่นคนสุดท้ายเป็นผู้ชนะ
ความสำคัญของการละเล่นเด็กไทย:
พัฒนาการรอบด้าน: ส่งเสริมพัฒนาการทางร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ และสังคม
อนุรักษ์วัฒนธรรม: เป็นการสืบทอดภูมิปัญญาและเอกลักษณ์ของไทย
สร้างความสัมพันธ์ที่ดี: ส่งเสริมการมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนวัยเดียวกันและผู้ใหญ่
ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์: เด็กๆ สามารถปรับเปลี่ยนวิธีการเล่นและกฎกติกาได้ตามความเหมาะสม
ให้ความสนุกสนาน: เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้เด็กๆ ได้ผ่อนคลายและมีความสุข
ปัจจุบัน การละเล่นเด็กไทยบางอย่างเริ่มเลือนหายไปตามยุคสมัยที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น การส่งเสริมและอนุรักษ์การละเล่นเหล่านี้จึงมีความสำคัญ เพื่อให้เด็กไทยรุ่นใหม่ได้รู้จักและสืบทอดวัฒนธรรมอันดีงามของไทยต่อไป